Fairphone สมาร์ตโฟนที่กล้าฝ่าเส้นทางหลักของโลกเทคโนโลยี เพื่อพิสูจน์ว่าความยั่งยืนสามารถอยู่ในมือคุณได้จริง

ในยุคที่ทุกคนมีโทรศัพท์มือถือพกติดตัวตลอดเวลาจนจะเรียกได้ว่าเป็นอวัยวะส่วนที่ 33 ก็ไม่ผิดมากนัก สมาร์ตโฟนกลายเป็นศูนย์กลางของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การสื่อสาร ทำงาน จ่ายเงิน จนถึงการแสดงตัวตนบนโลกออนไลน์ เรียกได้ว่าสมาร์ตโฟนได้ปฏิวัติวิธีการที่มนุษย์ยุคปัจจุบันใช้ชีวิตไปอย่างมีนัยสำคัญ ใคร ๆ ต่างก็ต้องมีสมาร์ตโฟนสักเครื่อง แถมแต่ละยี่ห้อก็ต้องพยายามกันสุดฤทธิ์เพื่อที่จะเข็น ‘รุ่นใหม่’ ในตัวเลือกที่ ‘หลากหลาย’ และชักชวนให้เราขยับตามเทรนด์เหล่านี้ไปทุกปี

ทว่าท่ามกลางปกติของการใช้อวัยวะส่วนที่ 33 ของเรานั้น ในแต่ละปี สมาร์ตโฟนเพียงหนึ่งเครื่องอาจสร้างคาร์บอนฟุตบรินท์สูงถึง 70–100 กิโลกรัม แม้จะมีขนาดเล็กในมือเรา แต่ผลกระทบกลับใหญ่มหาศาลต่อทั้งโลกและแรงงานที่อยู่เบื้องหลังการผลิต ตั้งแต่เหมืองแร่ที่แอฟริกาไปจนถึงสายพานการผลิตในเอเชีย โทรศัพท์เครื่องเล็ก ๆ นี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่คือเรื่องของสิ่งแวดล้อมและความเป็นธรรมในระดับโลก

ในปี 2022 เพียงปีเดียว สมาร์ตโฟนทั่วโลกปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 146 ล้านตัน โดยส่วนใหญ่มาจากกระบวนการผลิตและจัดส่งในช่วงปีแรกของการใช้งาน อีกทั้งมีโทรศัพท์ราว 5 พันล้านเครื่องถูกทิ้งกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยที่เพียง 20% เท่านั้นที่เข้าสู่ระบบรีไซเคิลอย่างเหมาะสม

ในขณะที่อุตสาหกรรมยังคงหมุนตามวัฏจักรของ ‘ความใหม่’ และ ‘การเปลี่ยนเครื่อง’ อย่างไม่รู้จบ มีแบรนด์หนึ่งจากเนเธอร์แลนด์ได้ตั้งคำถามว่า จะเป็นไปได้ไหม ถ้าสมาร์ตโฟนจะยุติธรรมกับทั้งโลกและผู้คนมากกว่าที่เป็นอยู่ 

และนี่คือเรื่องราวของ ‘Fairphone’ สมาร์ตโฟนที่กล้าฝ่าเส้นทางหลักของโลกเทคโนโลยี เพื่อพิสูจน์ว่าความยั่งยืนสามารถอยู่ในมือคุณได้จริง

เมื่อคำถามง่าย ๆ กลายเป็นจุดเริ่มต้น

จุดเริ่มต้นของ Fairphone ไม่ได้มาจากนักธุรกิจผู้คร่ำหวอดในวงการเทคโนโลยี หากแต่เกิดจาก ‘บาส ฟาน อาเบล’ (Bas van Abel) นักออกแบบและนักเทคโนโลยีชาวดัตช์ ผู้ซึ่งเคยทำงานกับ Waag Society องค์กรไม่แสวงกำไรที่พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสังคมและวัฒนธรรม ที่นั่นเองที่เขาได้เห็นความย้อนแย้งของวงการอิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ ซึ่งผลิตสินค้าที่ดูชาญฉลาดขึ้นทุกวัน แต่กลับสร้างผลกระทบที่ไม่เป็นธรรมกับผู้คนและโลกเสียอย่างนั้น

ทำไมเราถึงซ่อมโทรศัพท์ด้วยตัวเองไม่ได้?

แรงกระเพื่อมแรกเริ่มจากคำถามธรรมดา ๆ ที่ว่า ก่อนมันก็พาเขาไปสู่การค้นพบว่าชิ้นส่วนเล็ก ๆ ในสมาร์ตโฟนหนึ่งเครื่องต้องพึ่งพาแร่หายากจากแหล่งที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง การใช้แรงงานเด็ก และการทำลายสิ่งแวดล้อม ทั้งยังอยู่ในห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนและไม่มีใครอยากเปิดเผย ความรู้สึก ‘ไม่โอเค’ ที่เขาพบในกระบวนการนี้ ค่อย ๆ กลายเป็นคำมั่นในใจว่า ถ้าไม่มีใครทำโทรศัพท์ที่ดีกว่านี้…

เขาจะทำเอง

ด้วยเหตุนั้น ‘Fairphone’ จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2013 จากการระดมทุนซึ่งกลายเป็นหนึ่งในแคมเปญ crowdfunding ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปยุคนั้น จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อทำโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่สเปกแรงกว่า แต่เพื่อเปิดโปงห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม และสร้างตัวอย่างที่เป็นไปได้จริงให้โลกได้เห็นว่า สมาร์ตโฟนที่ใส่ใจคนและโลกนั้นเป็นไปได้และมีอยู่จริง

บาสเคยพูกล่าวเอาไว้ว่าไม่มีใครบังคับให้เรารอดจากวิกฤตสิ่งแวดล้อมก็จริง แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะรอดไปด้วยกันหรือปล่อยให้ทุกอย่างพังทลาย ด้วยแนวคิดแบบนี้เอง Fairphone จึงไม่ใช่แค่โทรศัพท์ แต่มันคือเครื่องมือทางวัฒนธรรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อท้าทายข้อตกลงดั้งเดิมของอุตสาหกรรม ว่าเราก็สามารถสร้างสิ่งที่ดีได้ โดยไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนใครเลย

การออกแบบที่ทำให้ทุกคน เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง

ความยั่งยืนในแบบของ Fairphone ไม่ได้ซ่อนอยู่ในรายงาน CSR หรือตัวเลขคาร์บอนที่ซับซ้อน แต่มันวางอยู่ตรงหน้าคุณ! 

ไม่ว่าจะเป็นฝาหลังโทรศัพท์ที่เปิดได้ง่าย ๆ ด้วยไขควงเพียงตัวเดียว ตั้งแต่ Fairphone รุ่นแรกจนถึงรุ่นล่าสุด Fairphone คือหนึ่งในสมาร์ตโฟนไม่กี่รุ่นในโลกที่ผู้ใช้สามารถ ‘ถอดประกอบเองได้จริง’ โดยไม่ต้องพึ่งช่าง ไม่ต้องกลัวหลุดประกัน ไม่ต้องส่งศูนย์บริการ และไม่ต้องโยนทิ้งทั้งเครื่องเพียงเพราะกล้องหรือพอร์ตเสีย

‘Fairphone 5’ รุ่นล่าสุดได้รับการออกแบบให้รองรับการอัปเดตซอฟต์แวร์ถึง ปี 2031 และมาพร้อมอะไหล่ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้อย่างน้อย 10 ชิ้น ตั้งแต่หน้าจอ แบตเตอรี่ ลำโพง ไปจนถึงกล้องหน้าและหลัง ทั้งยังได้คะแนนซ่อมง่าย 10/10 จาก iFixit ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสูงสุดด้านการซ่อมแซมด้วยตนเองในอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟน

นอกจากการออกแบบตัวเครื่อง Fairphone ยังกล้าฉีกกติกาเรื่อง ‘วัสดุ’ โดยใช้วัสดุที่เป็นธรรมและรีไซเคิลมากกว่า 70% ของน้ำหนักโทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็นทอง เงิน พลาสติก ทองแดง หรือลิเทียม ล้วนผ่านการจัดหาที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ และให้เครดิตแก่ชุมชนเหมืองขนาดเล็กในรูปแบบ Fairmined และ Fairtrade ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่โดยตรง นี่คือวิธีที่ Fairphone เปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานให้กลายเป็นห่วงโซ่คุณค่า

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ Fairphone เป็นแค่สมาร์ตโฟนที่ดีขึ้นในเชิงเทคนิค แต่ยังทำให้ ผู้ใช้กลายเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ว่าจะยืดอายุโทรศัพท์ของตัวเองไปได้กี่ปี จะเปลี่ยนเฉพาะส่วนที่พังหรือไม่ และจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับโลกแค่ไหน เพราะในมุมของ Fairphone ความยั่งยืนไม่ใช่สิ่งที่แบรนด์ทำให้แต่คือสิ่งที่เป็นการทำร่วมกันกับผู้ใช้ทุกคนที่ถือมันไว้ในมือ

กลยุทธ์การเติบโต แบบ Fairphone

หาก Fairphone จะเป็นเพียงโปรเจกต์เล็ก ๆ ของคนหัวก้าวหน้าในวงการเทคโนโลยี ก็คงไม่มีอะไรให้พูดถึงนัก แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา Fairphone ได้พิสูจน์ว่าธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยุติธรรมในห่วงโซ่อุปทาน ก็สามารถอยู่รอดได้ในโลกจริง

หลังจากวางจำหน่าย Fairphone รุ่นแรกในปี 2013 บริษัทก็สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาระดับโลกที่ได้รับการกล่าวถึงในด้าน ‘นวัตกรรมเพื่อความเป็นธรรม’ มากกว่าการแข่งขันทางเทคโนโลยี ตัวเลขในรายงานทางการเงินระบุว่า Fairphone มีกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2022 โดยปี 2022 บริษัททำรายได้ทะลุ 42 ล้านยูโร และมีกำไรสุทธิ 2.2 ล้านยูโร ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดของบริษัทนับตั้งแต่ก่อตั้งมา

แต่ในปี 2023 Fairphone กลับขาดทุนกว่า 5.3 ล้านยูโร ซึ่งเป็นตัวเลขที่อาจฟังดูน่ากังวลในคราวแรก แต่หากมองให้ลึกจะพบว่านี่ไม่ใช่การสะดุดทางธุรกิจ หากแต่เป็น การลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่บริษัทตั้งใจขยายกำลังการผลิต สต็อก และการกระจายสินค้า เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาวและการเปิดตัว Fairphone 5

ในขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่มักเลือกลงทุนเพื่อเพิ่มยอดขาย Fairphone กลับเลือกลงทุนเพื่อเพิ่ม ‘ผลกระทบเชิงระบบ’ (Systemic Impact) ผ่านห่วงโซ่อุปทานที่เป็นธรรม วัสดุที่ยั่งยืน และการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค สิ่งเหล่านี้ไม่อาจวัดค่าด้วยกำไรในปีใดปีหนึ่ง แต่คือการวางรากฐานให้ทางเลือกที่เป็นธรรมและยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ

หากจะเรียก Fairphone ว่าเป็นแบรนด์ที่เติบโตด้วยการขาดทุน ก็คงต้องพูดให้ครบว่า มันคือการขาดทุนเพื่อเปลี่ยนสมการของอุตสาหกรรม สมการที่ไม่จำเป็นต้องแลกเทคโนโลยีกับศักดิ์ศรีของมนุษย์หรืออนาคตของโลก

ความยั่งยืน ในมือของคุณ

ในโลกที่โทรศัพท์หนึ่งเครื่องอาจมีอายุการใช้งานเฉลี่ยเพียง 2-3 ปี หรือแม้แต่มันไม่พัง หากนานวันเข้ามันอาจไม่รองรับการอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่ล่าสุด การมาถึงของ Fairphone คือการประกาศจุดยืนเล็ก ๆ ว่า เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมือถือทุกปีตามกระแส ไม่จำเป็นต้องยอมรับความไม่โปร่งใสของอุตสาหกรรม และไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บริโภคที่ไม่มีทางเลือก

Fairphone ทำให้เราเห็นว่า ‘ทางเลือก’ ยังมีอยู่ างเลือกที่แม้จะไม่ได้หรูหราเท่าแบรนด์ใหญ่ หรือกล้องเทพเท่ารุ่นเรือธง แต่กลับให้คุณค่าอีกแบบที่ไม่อาจเทียบได้ในสมาร์ตโฟนทั่วไป คุณค่าของความโปร่งใส ความยุติธรรม และการยืดอายุผลิตภัณฑ์อย่างมีจุดยืน

แม้คุณอาจไม่ได้ซื้อ Fairphone มาใช้ แต่ยังน้อยสมาร์ตโฟนแบรนด์นี้ก็ชวนเราตั้งคำถามและมองไปที่อุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนในยุคปัจจุบันว่ามันสมเหตุสมผลและยุติธรรมต่อโลกและพวกเราทุกคนอย่างไรบ้าง

อ้างอิง 

หน้าตาของคำว่า ‘ความยั่งยืน’ มักถูกใช้จนดูจำเจ แต่คำถามสำคัญคือเราจะเล่าเรื่องราวเหล่านั้นออกมาอย่างไร ที่จะทำให้วิถีการอยู่คู่กับโลกมีความหมายมากกว่าเดิม เพราะทุกคนล้วนมีความรักต่อโลกใบนี้ในแบบฉบับของตัวเอง นั่นคือความเชื่อของผมในการเล่าเรื่องผ่าน aRoundP