
ในวันที่ใคร ๆ ก็พูดถึงคำว่า ‘รักษ์โลก’ และ ‘รีไซเคิล’ เป็นเทรนด์หลักของธุรกิจทั่วโลก LEGO เองก็ไม่ต่างกัน บริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่จากเดนมาร์กที่สร้างจินตนาการให้เด็ก ๆ มานานหลายทศวรรษ ประกาศเป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างจริงจังมาหลายปี ไม่ว่าจะเป็นการลดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว การพัฒนาวัสดุชีวภาพ หรือแม้กระทั่งการตั้งเป้าจะผลิตตัวต่อทั้งหมดจากวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายในปี 2032

หนึ่งในโครงการที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดของ LEGO คือความพยายามนำพลาสติกจากขวดน้ำรีไซเคิล หรือที่เรียกว่า rPET มาผลิตตัวต่อแทนพลาสติกที่ทำจากปิโตรเลียมโดยตรง ฟังดูเหมือนเป็นก้าวกระโดดของวงการของเล่นและวงการสิ่งแวดล้อม แต่แล้วในปีที่ผ่านมา LEGO กลับสร้างความประหลาดใจให้กับหลายคน เมื่อพวกเขาได้ประกาศยุติแผนการใช้พลาสติกรีไซเคิลในตัวต่อบางประเภท โดยให้เหตุผลที่ฟังดูย้อนแย้งว่า “มันไม่ยั่งยืน”
รีไซเคิล… ไม่ยั่งยืน?
คำถามจึงเกิดขึ้นทันทีว่า ทำไมการรีไซเคิลที่คนทั่วโลกยกย่องถึงกลายเป็นทางเลือกที่ไม่ยั่งยืนสำหรับบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้ เรื่องราวการยุติการใช้พลาสติกรีไซเคิลของ LEGO จะสะท้อนภาพให้เราเห็นทั้งนิยามของความยั่งยืนไปจนถึงความซื่อสัตย์ของผู้ประกอบการที่มีต่อผู้บริโภคได้อย่างชัดเจนขึ้นไปมากกว่าเดิม

รีไซเคิล = ยั่งยืน?
ในสายตาของคนส่วนใหญ่ การรีไซเคิล (Recycle) ดูเหมือนจะเป็นตัวละครเอกในเรื่องสิ่งแวดล้อม ภาพของขวดน้ำหรือพลาสติกเก่าที่ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังว่ามนุษย์จะอยู่ร่วมกับทรัพยากรอย่างชาญฉลาด แต่เบื้องหลังของคำว่ารีไซเคิล กลับซับซ้อนและมีต้นทุนแฝงมากกว่าที่คิด
การรีไซเคิลในบางกรณี ต้องอาศัยพลังงานจำนวนมากในการแปรรูปวัสดุเก่าให้กลับมาอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เช่นเดียวกับกรณีของ rPET (Recycled Polyethylene Terephthalate) ที่ LEGO ตั้งใจจะนำมาใช้ผลิตตัวต่อใหม่ แม้ต้นทางจะเป็นขวดน้ำที่ถูกทิ้ง แต่ปลายทางกว่าจะมาเป็นตัวต่อสีสดใสได้ ต้องผ่านกระบวนการมากมาย ทั้งการคัดแยก การทำความสะอาด การหลอมละลาย และการเติมสารเพิ่มความแข็งแรง
แต่สิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้นคือ เมื่อวัสดุรีไซเคิลต้องถูกเติมสารเพิ่มความแข็งแรงหรือคุณสมบัติพิเศษเข้าไป ผลลัพธ์คือวัสดุชิ้นนั้นจะสูญเสียความสามารถในการรีไซเคิลตัวเองวนกลับเป็นวัตถุดิบเดิมอีกครั้ง กระบวนการที่ดูเหมือนจะเป็นการเปิดวงจรหมุนเวียน จึงกลายเป็นการปิดลูปหรือ ‘ดาวน์ไซเคิล’ (Downcycling) โดยไม่ตั้งใจ และสร้างผลกระทบในระยะยาวที่หนักกว่าการเลือกใช้วัสดุที่ออกแบบมาให้หมุนเวียนได้จริงตั้งแต่ต้น
ที่สำคัญกว่านั้นคือการวิเคราะห์ตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ หรือที่เรียกว่า ‘Life Cycle Assessment’ ซึ่งคำนวณตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ พบว่ากระบวนการรีไซเคิลในบางกรณี อาจปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าการผลิตพลาสติกใหม่เสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเมื่อรวมต้นทุนด้านการเปลี่ยนอุปกรณ์ในโรงงาน และพลังงานที่ต้องใช้เพิ่มขึ้น
นี่จึงทำให้คำว่า รีไซเคิล กับคำว่า ยั่งยืน ไม่ได้หมายถึงสิ่งเดียวกันเสมอไป และ LEGO เองก็ค้นพบความจริงข้อนี้ด้วยตัวเอง

ทำไมการรีไซเคิลถึงไม่ยั่งยืน
สำหรับ LEGO?
สำหรับ LEGO ตัวต่อพลาสติกทุกก้อนไม่ได้เป็นแค่ของเล่น แต่คือสัญลักษณ์ของคุณภาพ ความแข็งแรง และมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก พลาสติกที่ LEGO ใช้มาตลอดหลายสิบปีคือ ABS (Acrylonitrile Butadiene Styrene) ซึ่งเป็นพลาสติกจากปิโตรเลียมที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรง ทนทาน และมี ‘แรงยึดเกาะ’ ที่ทำให้ตัวต่อแต่ละชิ้นสามารถประกอบและถอดแยกได้อย่างพอดิบพอดี
เมื่อ LEGO ทดลองนำ rPET มาผลิตตัวต่อ กลับพบปัญหาหลายจุด วัสดุประเภทนี้อ่อนกว่า ABS มาก หากจะใช้แทนกันได้ จำเป็นต้องเติมสารเสริมเพื่อเพิ่มความแข็งแรง อีกทั้งกระบวนการผลิตยังต้องเปลี่ยนอุปกรณ์และสายการผลิตครั้งใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้หมายถึงการใช้พลังงานและทรัพยากรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ที่สำคัญคือ เมื่อประเมินผลกระทบตลอดวงจรชีวิตของตัวต่อ rPET แล้ว พบว่าการใช้พลาสติกรีไซเคิลในรูปแบบนี้ กลับเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวม มากกว่าการใช้ ABS แบบเดิม LEGO จึงตัดสินใจหยุดโครงการดังกล่าว แม้ว่าจะใช้เวลาและทรัพยากรไปกับการวิจัยมานานหลายปี
แม้เป็นการตัดสินใจที่ดูสวนทางกับกระแส แต่ในมุมของความยั่งยืนที่แท้จริง มันคือทางเลือกที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา เพราะพวกเขาต้องการที่จะ ‘ยั่งยืน’ แบบจริง ๆ ในขณะเดียวกับที่รักษาคุณภาพของสินค้าให้ตรงตามที่ผู้บริโภคได้รับตลอดมา

ก้าวต่อไปของ LEGO
แม้จะหยุดแผนการใช้ rPET ในตัวต่อ แต่ LEGO ไม่ได้หยุดความตั้งใจที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทประกาศชัดว่าจะเดินหน้าพัฒนาวัสดุทางเลือกต่อไป ทั้งการผสมวัสดุชีวภาพและวัสดุรีไซเคิลเข้ากับ ABS เพื่อค่อย ๆ ลดการพึ่งพาปิโตรเลียม โดยไม่ลดทอนคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยที่เป็นหัวใจของแบรนด์
นอกจากนี้ LEGO ยังลงทุนขยายโครงการ Replay รับบริจาคตัวต่อเก่าจากผู้บริโภค เพื่อนำกลับมาคัดแยก ทำความสะอาด และส่งต่อให้เด็ก ๆ ผ่านองค์กรการกุศล หรือในอนาคต อาจมีระบบที่ผู้บริโภคสามารถนำตัวต่อเก่ามาคืนและได้รับรางวัลตอบแทน เป็นการสร้างวงจรหมุนเวียนที่แท้จริง ดังที่ LEGO เคยเปิดโครงการทดลองที่ชื่อว่า ‘Brick Take Back’ ก่อนจะสิ้นสุดการทดลองไปเมื่อปลายปีที่แล้ว

ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดใหม่ของ LEGO ที่ไม่ได้สนใจเพียงแค่ภาพลักษณ์ แต่ให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์จริงในทุกขั้นตอน แม้ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน แต่ก็ดีกว่าการเลือกทางลัดที่อาจทำให้ปัญหาซับซ้อนยิ่งขึ้น พวกเขาเลือกที่จะสลัดการรีไซเคิลที่ฟังดูดีในสายตาของผู้บริโภค และซื่อสัตย์ต่อสถานการณ์จริงที่พวกเขาเผชิญ
กรณีของ LEGO คือบทเรียนสำคัญสำหรับโลกธุรกิจ เพราะมันชี้ให้เห็นว่า ‘ความยั่งยืน’ ไม่ใช่แค่ป้ายโฆษณาสวย ๆ หรือแคมเปญสีเขียวที่สร้างภาพลักษณ์ หากแต่คือความพยายามจริงจัง ซื่อสัตย์ และกล้ายอมรับข้อจำกัดของตัวเอง เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดทั้งต่อธุรกิจ ต่อผู้บริโภค และต่อโลกใบนี้

ทำไม LEGO ถึงเลิกใช้พลาสติกรีไซเคิล
aRoundP สรุปเรื่องราวไว้ให้แล้ว คลิ๊กเพื่อรับชมได้เลย
อ้างอิง
- Financial Times. Lego ditches oil-free brick in sustainability setback.
- BBC Newsround. Plastic pollution: Lego on track for sustainable bricks by 2032.
- ScienceAlert. Lego Will No Longer Aim to Use Recycled Plastic. Here’s Why.
- CNN Business. Lego drops plans to make bricks from recycled plastic bottles.
- The Guardian. Lego abandons effort to make bricks from recycled plastic bottles.
- Brick Fanatics. Lego trials ‘Brick Take Back’ programme offering rewards for returning old bricks.
- Reddit. Lego Store Atlanta tests brick recycling programme with gift card incentives.